The Hurt Locker (2008) หน่วยระห่ำปลดล็อคระเบิดโลก

หนังเรื่อง The Hurt Locker (2008) หน่วยระห่ำปลดล็อคระเบิดโลก เป็นหนังฝรั่งแนวสงคราม ดราม่า ระทึกขวัญ อำนวยการสร้างโดย มาร์ค โบล และ แคทริน บิเกโลว์ เขียนบทโดย มาร์ค โบล กำกับภาพโดย แบร์รี แอครอยด์ ตัดต่อภาพโดย คริส อินนิส กำกับการแสดงโดย แคทริน บิเกโลว์ พร้อมกับนักแสดงนำมากมาย ได้แก่ เจเรมี ลี เรนเนอร์ รับบทเป็น จ่าสิบเอก วิลเลียม เจมส์, แอนโทนี แมกกี รับบทเป็น จ่าสิบเอก เจ.ที. แซนบอร์น, ไบรอัน เจอแร็กตี รับบทเป็น นายทหาร โอเว่น เอลดริดจ์, คริสเตียน คาร์มาโก รับบทเป็น พันโท จอห์น เคมบริดจ์, นิโคล อิแวนเจลีน ลิลลี รับบทเป็น คอนนี เจมส์, เรล์ฟ ไฟนส์ รับบทเป็น หัวหน้าทีมทหารอังกฤษ, เดวิด โบว์ดิตช์ มอร์ส รับบทเป็น พันเอก รีด, กาย เอดเวิร์ด เพียร์ซ รับบทเป็น จ่าสิบตรี แมทธิว ทอมป์สัน และ คริสโตเฟอร์ เซกจ์ รับบทเป็น เบ็คแคม

เนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องราวของ จ่าสิบเอก วิลเลียม เจมส์ ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมของหน่วยกู้ระเบิดในช่วงเกิดสงครามอิรัก เขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลลูกทีม และคอยจัดการการกู้ระเบิดที่วางเกลื่อนพื้นตามจุดต่าง ๆ และแน่นอนว่าสถานการณ์ดังกล่าวมีทั้งความเสี่ยงตาย ความกดดันที่สูงทำให้เขาเกิดความเครียดสะสมจนตัดสินใจในบางเรื่องได้ไม่ดี และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เพื่อนร่วมงานของเขาเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ จ่าสิบเอก วิลเลียม เจมส์ จะทำงานนี้สำเร็จหรือไม่ และจะมีอุปสรรคอะไรเข้ามาขวางระหว่างที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ไหม เชิญมาลุ้นต่อด้วยกันได้ที่นี่เลย

หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ขอสรุปว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวสงคราม ดราม่า ระทึกขวัญ ซึ่งเนื้อหาภายในหนังสะท้อนให้คนดู ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของทหารที่ทำงานอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา แถมยังต้องคอยแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด และพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดให้ผ่านไปแต่ละวันให้ได้ ส่วนทางด้านพล็อตเรื่องถือว่าดี จุดเด่นของหนังคือ หนังเรื่องนี้ทำให้ทุกคนได้เห็นอีกด้านของตัวละครในแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น พร้อมกับทำให้เราได้เข้าใจความรู้สึกของการทำงานที่อยู่บนความเสี่ยง และมีชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งเป็นความท้าทายอีกรูปแบบหนึ่งที่น้อยคนจะเข้าใจ นอกจากนี้การถ่ายทำก็ยังใช้สถานที่จริง ทำให้เราได้บรรยากาศของสงครามอิรัก เลยทำให้ตัวหนังดูสมจริงมาก แต่จุดด้อยก็มีบ้างนั่นก็คือ บางฉากก็ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัด และเครียดไปกับตัวละคร ส่วนทางด้านเทคนิคของการถ่ายทำ รวมไปถึงทางด้านของแสง สี และองค์ประกอบโดยรวมของหนังถือว่าพอใช้ได้ เราจึงให้คะแนนภาพรวมทั้งหมดของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ 5 เต็ม 10 คะแนน