The Fire Inside (2024) ว้าชัยด้วยไฟฝัน

The Fire Inside (2024) คว้าชัยด้วยไฟฝัน ภาพยนตร์แนวดรามา ชีวประวัติ กำกับโดย Rachel Morrison เขียนบทโดย Barry Jenkins นำแสดงโดย Ryan Destiny, Brian Tyree Henry, และ Jazmin Headley ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ คลาเรสซา ชิลด์ส (Claressa Shields) นักมวยหญิงชาวอเมริกันจากเมืองฟลินท์ รัฐมิชิแกน ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในกีฬามวย หนังสะท้อนถึงเส้นทางอันยากลำบากของเธอ ทั้งในและนอกเวที การต่อสู้ไม่ได้มีแค่บนสังเวียน แต่รวมถึงอุปสรรคทางสังคม เศรษฐกิจ และอคติทางเพศที่เธอต้องเผชิญ

คลาเรสซา ชิลด์ส เติบโตมาในเมืองฟลินท์ รัฐมิชิแกน เมืองที่เต็มไปด้วยปัญหาความยากจน อาชญากรรม และความไม่เท่าเทียมทางสังคม แต่สิ่งที่ทำให้เธอโดดเด่นคือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้ ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวและโค้ชของเธอ คลาเรสซาตัดสินใจเลือกเดินเส้นทางนักมวยหญิง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับคำดูถูกและข้อจำกัดทางเพศ แต่เธอก็พิสูจน์ให้โลกเห็นถึงความสามารถของเธอด้วยการก้าวเข้าสู่เวทีมวยโอลิมปิกในปี 2012 เธอสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าเหรียญทองเหรียญแรกในกีฬามวยหญิงให้กับสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามชัยชนะนั้นไม่ได้หมายถึงจุดจบของการต่อสู้ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คลาเรสซาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ทั้งจากสื่อที่มองเธอในแง่ลบ วงการกีฬาที่ไม่ได้ให้โอกาสผู้หญิงมากพอ และปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางอาชีพของเธอ เธอต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการยอมรับและใช้ชื่อเสียงของเธอในการเปลี่ยนแปลงวงการกีฬาให้มีความเท่าเทียมมากขึ้น ภาพยนตร์เล่าเรื่องของเธอจากวัยเด็กจนถึงจุดที่เธอเป็นแชมป์ พร้อมถ่ายทอดอารมณ์ของความผิดหวัง ความหวัง และความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้ง

ภาพยนตร์นี้ถ่ายทอดเรื่องราวของคลาเรสซา ชิลด์ส ได้อย่างลึกซึ้ง Ryan Destiny ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคลาเรสซาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดความแข็งแกร่ง ความมุ่งมั่น และความเจ็บปวดได้อย่างมีพลัง งานกำกับของ Rachel Morrison โดดเด่นด้วยการใช้มุมกล้องที่สร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละคร โดยเฉพาะฉากการฝึกซ้อมและฉากต่อสู้ที่ให้ความรู้สึกสมจริงจนทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีด้วย งานภาพเน้นโทนสีที่สะท้อนสภาพสังคมของเมืองฟลินท์อย่างชัดเจน ให้ความรู้สึกถึงความกดดันและความสิ้นหวังของตัวละคร แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงความหวังที่ส่องประกายออกมา เสียงประกอบช่วยเสริมอารมณ์ได้ดี ฉากชกมวยออกแบบมาอย่างสมจริงและมีความดิบเถื่อนเหมือนการแข่งขันจริง ด้านการเล่าเรื่องนั้นดำเนินไปอย่างเข้มข้นและไม่ยืดเยื้อ มีจุดพีคที่ทำให้ผู้ชมอินไปกับการเดินทางของตัวละคร ถึงแม้บางช่วงของหนังอาจไม่ได้ให้รายละเอียดลึกในเรื่องวงการมวยหญิงมากนัก แต่โดยรวมถือเป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจที่ทรงพลังอีกเรื่องหนึ่ง คะแนนหนังเราให้ที่ 9/10 คะแนน