The Bloody Hundredth (2024) สุดยอดฝูงบินที่ 100

ภาพยนตร์ The Bloody Hundredth (2024) สุดยอดฝูงบินที่ 100 หนังแนวสงคราม / ดราม่า กำกับโดย โรเบิร์ต รอดริเกซ นักแสดงนำ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ รับบทเป็น พันตรี โจเซฟ “คิต” คาร์เตอร์, แดเนียล แรดคลิฟฟ์ รับบทเป็น กัปตัน แฮร์รี่ “บัค” บัคเกอร์, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน รับบทเป็น ร้อยโท โรเบิร์ต “บ็อบ” บูเออร์, เซบาสเตียน สแตน รับบทเป็น ร้อยตรี จอห์น “แจ็ค” จอห์นสัน, เจมส์ มาร์สเดน รับบทเป็น ร้อยโท วิลเลียม “บิล” บิลลิงส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อ้างอิงจากหนังสือที่มีชื่อเดียวกัน ผ่านปากกาโดย เจมส์ เอส. โรบินสัน ตัวหนังจะพาเราไปสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 กับการติดตามฝูงบินทิ้งระเบิด B-17 ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา พร้อมภารกิจอันหนักอึ้งที่พวกเขาได้รับ

เรื่องราวเริ่มต้นช่วงเวลาปี 1997 โรเบิร์ต “โรซี่” นักบินฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 100 เขากำลังมองเครื่องบินทิ้งระเบิดด้วยความคิดถึงและชื่นชม นั้นก็คือ B-17 ภาพได้ย้อนกลับไปครั้งที่เจ้าเครื่องบินนี้ได้ถูกนำมาใช้งาน โดยเป็นเครื่องบินสำหรับการสู้รบทางอากาศ มันเป็นเครื่องเตือนใจอีกหนึ่งอย่างของผู้พบให้หวนย้อนคิดถึงผู้คนมากมายที่ได้รับความเสียหาย บาดเจ็บ ล้มตายจากมัน ซึ่งผู้ที่ได้ขับขี่เครื่องบินรุ่น B-17 นั้นก็คือ ฝูงบู๊ที่ 100 นั้นเอง เหตุการณ์จะเข้าสู่เนื้อหาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การเกิดสงครามในยุโรปจากการสู้รบของเหล่านาซี ที่มีความต้องการจะต่อสู้ทั้งทะเล ทางบก และทางอากาศ หลาย ๆ ประเทศเริ่มที่จะถูกโจมตีทางอากาศจากการทิ้งระเบิดของนาซี ซึ่งจุดนี้เองทำให้กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจก่อตั้งทีมขึ้นมา เพื่อยับยั้งและเข้าจำกัดฝ่ายศัตรู สถานการณ์เริ่มที่จะตึงเครียดและเข้าสู่ภาวะของสงครามมากยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นสนามนองเลือดเกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่นั้นมา เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หน่วยรบที่ขึ้นชื่อว่ามีชื่อเสียงและฝีมือมาก ๆ จะสามารถหยุดยั้งการโจมตีทางอากาศได้มากแค่ไหน ร่วมกันติดตามกันต่อในหนังเต็มกันได้เลย

เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดูสารคดีเลยก็ว่าได้ เนื่องจากหนังจะกึ่งเล่าเรื่องผ่านภาพบันทึกในอดีต ถ่ายทอดและขยายความจากคนรุ่นเก่าที่อยู่ในช่วงยุคเวลานั้น ซึ่งจุดนี้เองทำให้เราได้เข้าใจ แถมยังรับรู้ถึงความเรียลของสถานการณ์ในตอนนั้นได้ด้วย สำหรับใครที่เข้าใจว่าหนังจะเป็นภาพยนตร์ทั่ว ๆ ไป อาจผิดหวังนิดนึง ในส่วนของการเล่าเรื่องถือว่าทำได้ดีในแง่ของหนังแนว ๆ สงคราม เล่าเชิงสารคดี เหมือนเรามานั่งฟังประวัติศาสตร์จากบุคคลจริง ๆ นั้นเอง โดยรวมแล้วถือว่าถ่ายทอดได้ตรงกับเส้นเรื่องหลักที่หนังได้วางเอาไว้ เราจะให้คะแนนหนังเรื่องนี้อยู่ที่ 8.5/10