O’Dessa (2025)

O’Dessa (2025) คือภาพยนตร์แนวมิวสิคัล-ดรามา-ผจญภัย ที่กำกับและเขียนบทโดย Geremy Jasper ผู้เคยฝากฝีมือไว้ใน Patti Cake ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Sadie Sink ในบท O’Dessa Galloway, Bree Elrod ในบท Calliope Galloway, Pokey LaFarge ในบท Vergil Galloway, Cora Sabo ในบท Little O’Dessa, และ Luka Baresic ในบท Levon Galloway หนังเล่าเรื่องการเดินทางอันเหนือจินตนาการของเด็กสาวที่มุ่งหน้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับ เสียงเพลง และการค้นหาความจริงของตนเอง ภายใต้ฉากหลังที่เหมือนจะเป็นโลกหลังวันสิ้นโลกในบรรยากาศแบบลูกผสมระหว่างนิทานพื้นบ้านและโลกไซเบอร์พังก์

เรื่องราวของหนังริ่มต้นขึ้นในดินแดนชนบทหลังวันสิ้นโลกที่เปลี่ยวเหงา เด็กสาวชาวไร่ผู้ชื่อว่า O’Dessa ได้ออกเดินทางตามหาสมบัติล้ำค่าของครอบครัวที่หายไป ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไขความลับของอดีตและชะตากรรมในอนาคตของเธอ ระหว่างการเดินทาง เธอได้หลงเข้าสู่เมืองลึกลับที่แปลกประหลาด เต็มไปด้วยผู้คนพิลึกพิลั่น วัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันตกเก่า เทคโนโลยีล้ำสมัย และพลังเหนือธรรมชาติ ในนั้นเอง O’Dessa ได้พบกับชายหนุ่มลึกลับ ผู้ซึ่งกลายมาเป็นรักแท้ของเธอ ทว่าความรักของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะชายหนุ่มถูกคำสาปบางอย่างที่เกี่ยวพันกับอดีตอันดำมืดของเมือง O’Dessa ต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบของโชคชะตา ฝ่าฟันทั้งพลังลึกลับ ความสูญเสีย และการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพื่อช่วยวิญญาณของชายที่เธอรัก และค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำว่าบ้าน ระหว่างทาง เธอได้เรียนรู้ว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจซ่อนอยู่ภายในหัวใจของตัวเองและในเสียงดนตรีที่เปล่งออกมาจากดวงวิญญาณ

นี่คือภาพยนตร์ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านงานศิลป์และเสียงดนตรี การเล่าเรื่องถูกนำเสนอผ่านสไตล์มิวสิคัลที่สดใหม่ โดยใช้เพลงเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนอารมณ์และเนื้อหา ซึ่งสร้างความกลมกลืนระหว่างความเป็นนิยายแฟนตาซีกับเรื่องราวดรามาได้อย่างน่าทึ่ง การแสดงของ Sadie Sink ถือเป็นหัวใจหลักของหนัง เธอถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง งานโปรดักชันน่าประทับใจมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากเมืองจำลองที่ดูหลอนและงดงามไปพร้อม ๆ กัน หรือเครื่องแต่งกายที่ผสมผสานกลิ่นอายยุคเก่าและโลกอนาคตได้อย่างมีรสนิยม มุมกล้องและแสงสีก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างอารมณ์แฟนตาซีเหนือจริง และช่วยยกระดับการรับชมให้เป็นเหมือนการดูภาพฝันที่จับต้องได้ แม้เนื้อเรื่องจะมีจังหวะบางช่วงที่เนิบช้า แต่การออกแบบโลกและเพลงประกอบที่แต่งขึ้นมาโดยเฉพาะนั้นก็เพียงพอจะดึงผู้ชมไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง เราให้คะแนนที่ 9/10 คะแนน