Cleaner (2025) ไต่ระทึกตึกนรก

Cleaner (2025) ไต่ระทึกตึกนรก ภาพยนตร์แนวแอ็กชัน-ระทึกขวัญที่กำกับโดย มาร์ติน แคมป์เบล ผู้กำกับมือฉมังจาก Casino Royale (2006) และ The Protégé (2021) โดยหนังเรื่องนี้ได้นักแสดงนำมากฝีมืออย่าง Daisy Ridley ในบทบาท Joey, Clive Owen ในบทบาท Marcus, Ray Fearon ในบทบาท DI Kahn, Ruth Gemmell ในบทบาท DS Hume, และ Celine Arden ในบทบาท Kate มาร่วมสร้างความตื่นเต้น ภาพยนตร์เล่าเรื่องของอดีตทหารหญิงที่หันมาทำงานเป็นช่างทำความสะอาดกระจกบนตึกสูง แต่กลับต้องกลายเป็นความหวังเดียวของผู้คนในอาคาร เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้ายึดงานเลี้ยงของบริษัทพลังงานและจับตัวประกันกว่า 300 คนเอาไว้

หนังเล่าเรื่องราวของ Joey เธอเป็นอดีตทหารผ่านศึกที่ผันตัวมาเป็นช่างทำความสะอาดกระจกตึกระฟ้า วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังทำงานบนชั้นที่ 50 ของตึกสำนักงานใหญ่บริษัทพลังงานระดับโลก กลุ่มนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรงบุกเข้ายึดอาคารและจับตัวประกันกว่า 300 ชีวิตไว้ โดยหนึ่งในตัวประกันนั้นรวมถึงน้องชายของเธอเอง กลุ่มผู้ก่อการร้ายเรียกร้องให้บริษัทยอมเปิดเผยเอกสารลับที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้านสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อบริษัทยังคงเพิกเฉย พวกเขาจึงเริ่มสังหารตัวประกันทีละคน ด้วยทักษะการเอาตัวรอดและการฝึกฝนทางทหาร Joey ตัดสินใจลอบเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันจากภายนอกอาคาร โดยใช้เชือกนิรภัยและอุปกรณ์ทำความสะอาดเป็นเครื่องมือของเธอ ขณะที่เธอพยายามหาทางเข้าไปในอาคาร กลุ่มก่อการร้ายก็เริ่มไหวตัวทันและพยายามกำจัดเธอ ระหว่างนั้น Marcus หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของอาคาร พยายามช่วยเธอจากภายใน แต่ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอาวุธครบมือและการกดดันจากเวลา ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆJoey ต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยชีวิตคาร์เตอร์และผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ ก่อนที่แผนการของกลุ่มก่อการร้ายจะสำเร็จ

ภาพยนตร์นี้เป็นหนังแอ็กชันที่มาพร้อมกับฉากสุดระทึกใจและการเล่าเรื่องที่เข้มข้นตั้งแต่ต้นจนจบ จุดเด่นของหนังอยู่ที่ฉากแอ็กชันบนที่สูงที่สร้างความหวาดเสียวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากที่ เดซีย์ ริดลีย์ ต้องปีนตึกและต่อสู้กับศัตรูบนพื้นที่จำกัด เธอสามารถถ่ายทอดบทบาทของอดีตทหารที่ต้องเอาตัวรอดได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน ไคลฟ์ โอเว่น รับบทเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่พยายามช่วยเหลือจากภายใน ซึ่งเป็นการเสริมพล็อตเรื่องให้มีความซับซ้อนมากขึ้น ส่วนในแง่ของงานโปรดักชัน การใช้มุมกล้องมุมสูงช่วยสร้างความหวาดเสียวได้ดี เอฟเฟกต์เสียงมีความสมจริง โดยเฉพาะเสียงลม เสียงกระจกแตกร้าว และเสียงปืน ด้านแสงและสีของหนังก็ถูกออกแบบให้ดูสมจริงและมีความดิบเถื่อน ด้านบทภาพยนตร์ไม่ได้ซับซ้อนมาก เพราะฉะนั้นหากคุณเป็นแฟนหนังแอ็กชันสไตล์ Die Hard หรือ Mission: Impossible บอกเลยว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน เราให้คะแนนหนังอยู่ที่ 9/10 คะแนน