Baki Hanma VS Kengan Ashura (2024) ฮันมะ บากิปะทะกำปั้นอสูร โทคิตะ

ภาพยนตร์อนิเมะ / ต่อสู้ เรื่อง Baki Hanma VS Kengan Ashura (2024) ฮันมะ บากิปะทะกำปั้นอสูร โทคิตะ กำกับการแสดงโดย Toshiki Hirano นักแสดงนำ Nobunaga Shimazaki, Tatsuhisa Suzuki, และ Kenjirô Tsuda เมื่อศึกพิฆาตได้เปิดฉากขึ้น ฮันมะ บากิ และ อสูร โทคิตะ ได้โอกาสมาปะทะกัน ศึกครั้งนี้ใครจะกลายเป็นผู้ชนะ

เรื่องราวเริ่มต้น ณ ศึกพิฆาตที่กำลังได้เริ่มต้นขึ้น ศึกที่กำลังเฟ้นหานักสู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในจักรวาล โดยศึกครั้งนี้ประกอบด้วยคู่เอกถึง 3 คู่ด้วยกันนั้นก็คือ ซอว์ เปง ยอดฝีมือที่ขึ้นชื่อเรื่องการต่อสู้ดั้งเดิม จุดเด่นของเขาคือ ศิลปะการต่อสู้พื้นเมืองของประเทศพม่า เขาถือว่าเป็นตัวแทนของหมู่บ้าน KENGAN ASHURA โดยคู่ต่อสู้ของเขาคือ ฮานายามะ ชายที่เรียกว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งและเป็นนักเลงแถวหน้าของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้เขายังควบตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าแก๊ง ด้วยความสามารถที่โดดเด่นแม้ว่าเขาจะอายุน้อยก็ตาม คู่ที่ 2 คุเระ ไรอัน ตัวแทนจากบริษัททรงอิทธิพล อันเดอร์เมานต์ บริษัทที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าเบื้องหลังคือนักฆ่าตระกูลใหญ่ที่มีความโหดเหี้ยมที่สุดของเมือง เขาต้องประชันกับ แจ็ค แฮมเมอร์ นักสู่ที่มาจากประเทศ แคนาดา แจ็คเป็นนักสู้ที่เรียกได้ว่ามีรูปร่างที่แข็งแกร่งมาก ๆ ซึ่งตัวของเขาก็ใช้สารกระตุ้นพร้อมกับวิธีการฝึกที่แปลกจนกระทั่งสร้างให้แจ็คเป็นนักสู้ที่ไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คู่สุดท้าย คู่เอกที่หลาย ๆ คน กำลังรออยู่ โทคิตะ โอมะ ผู้ที่มีสายตาและทักษะในการต่อสู้โดยเขาใช้วิชานิโกะ ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมมาผสมผสานเป็นการต่อสู้ของตัวเอง เขาต้องเผชิญหน้ากับ ฮันมะ บากิ แชมเปี้ยมที่มุ่งมั่นและต้องการที่จะเอาชนะพ่อของตัวเองให้ได้ โดยจุดประสงค์ของเขาคือ การล้มล้างคำสบประมาทของทุก ๆ คน เรื่องราวการต่อสู้และศึกครั้งนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร ใครกันจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด ติดตามกันต่อในภาพยนตร์เต็มกันได้เลย

Baki Hanma VS Kengan Ashura (2024) เป็นอนิเมะที่สร้างขึ้นมาจากการ์ตูนชื่อดัง เรียกว่าเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนที่ชื่นชอบหนังแนวต่อสู้มาก ๆ เพราะเรื่องนี้จัดเต็มในเรื่องของฉากต่อสู้ล้วน ๆ มีฉากพูดนิดหน่อยไม่ได้เยอะ อาจทำให้คนที่ดูรู้สึกขัด ๆ ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของเหล่าแฟน ๆ การ์ตูนได้แน่นอน ส่วนตัวคิดว่าอาจด้วยเวลาที่จำกัดเพราะต้องเล่าภายใต้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น จึงทำให้ในฐานะของคนดูรู้สึกยังสับสนและงงในหลาย ๆ ฉากอยู่นั้นเอง เราจะขอให้คะแนนหนังเรื่องนี้อยู่ที่ 5/10