Bat War (2024) ศึกค้างคาวกินกล้วย

Bat War (2024) ศึกค้างคาวกินกล้วย ภาพยนตร์แนวตลก-ดรามาที่แฝงประเด็นสังคมเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศิลปะ กำกับโดย เจแปน-ภาณุพรรณ จันทนะวงศ์ และ กฤษณะ จิตรเนาวรัตน์ นำแสดงโดย จิรายุ ละอองมณี รับบท ผู้พันเผ่า, พชร จิราธิวัฒน์ รับบท เชิด, โจริญ คัมภีร์พันธุ์ รับบท แก้วตา, เจแปน-ภาณุพรรณ จันทนะวงศ์ รับบท กลั่น, นิกกี้-ณฉัตร จันทพันธ์ รับบท พวง, และ หมูเติ้ล ทวีศักดิ์ รับบท สิงห์ หนังนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนรักดนตรีไทยที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการที่สั่งห้ามเล่นดนตรีพื้นบ้าน ภายใต้ฉากหลังที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มิตรภาพ และการล้างแค้น ถือเป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานความสนุกและข้อคิดได้อย่างลงตัว

ในยุคที่ดนตรีไทยถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลเผด็จการที่ต้องการสร้างสังคมแบบใหม่ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ผู้พันเผ่า ได้รับคำสั่งให้กวาดล้างทุกสำนักดนตรีไทย รวมถึงสำนักของ เซียนขาว ผู้เป็นตำนานด้านดนตรีไทยและยังเป็นศัตรูเก่าของผู้พันเผ่า เหตุการณ์พลิกผันเมื่อผู้พันเผ่าพลั้งมือทำให้เซียนขาวบาดเจ็บปางตาย เรื่องนี้สร้างความคับแค้นให้กับ เชิด ลูกชายของเซียนขาว ซึ่งเคยสนใจดนตรีตะวันตกมากกว่าการสืบทอดมรดกดนตรีไทย แต่เหตุการณ์นี้ผลักดันให้เขาหันกลับมาปกป้องดนตรีไทยอย่างจริงจัง ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าลูกศิษย์เซียนขาวอย่าง กลั่น, พวง, และ สิงห์ พวกเขารวมตัวกันตั้งแก๊ง “ค้างคาวกินกล้วย” เพื่อทวงคืนดนตรีไทยให้กลับมาเป็นของประชาชน การต่อสู้ของกลุ่มค้างคาวกินกล้วยยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ แก้วตา มือซ้อสาวแห่งสำนักเซียนดำที่ผู้พันเผ่าหลงรัก กลับมาร่วมมือกับเชิดในการต่อต้านอำนาจรัฐ การปะทะกันระหว่างศึกรบและศึกรักทวีความเข้มข้น เมื่อทุกคนต้องเผชิญหน้ากับการเลือกว่าจะรักษามิตรภาพ ความรัก หรือมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ให้ได้ เรื่องราวจะลงเอยอย่างไร และดนตรีไทยจะกลับมาเป็นของทุกคนหรือไม่ ต้องติดตามในศึกครั้งนี้

นี่คือหนังที่ผสมผสานความตลกและดรามาได้อย่างลงตัว การเล่าเรื่องดำเนินไปอย่างลื่นไหล โดยมีฉากฮา ๆ ที่มาพร้อมกับข้อคิดทางสังคมเกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย การแสดงของ จิรายุ ละอองมณี ในบท เชิด มีพลังและเต็มไปด้วยอารมณ์ โดยเฉพาะฉากดรามาที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกซาบซึ้ง ด้านโปรดักชัน การออกแบบฉากและการจัดแสงช่วยสะท้อนความขัดแย้งระหว่างโลกสมัยใหม่และมรดกไทยดั้งเดิม มุมกล้องที่เน้นความใกล้ชิดกับตัวละครช่วยเสริมให้การเล่าเรื่องมีมิติ เสียงประกอบที่ผสมผสานดนตรีไทยพื้นบ้านกับจังหวะสมัยใหม่สร้างความแปลกใหม่และน่าประทับใจ แม้ว่าช่วงต้นของหนังจะมีจังหวะที่เนิบไปบ้าง แต่จุดไคลแม็กซ์สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกและตื้นตันได้เต็มที่ เราให้คะแนนหนังที่ 8/10 คะแนน