In Youth We Trust (2024) วัยหนุ่ม 2544

In Youth We Trust (2024) วัยหนุ่ม 2544 เป็นภาพยนตร์แนวดรามา-อาชญากรรมที่กำกับโดย พุฒิพงษ์ นาคทอง นำแสดงโดย ณัฏฐ์ กิจจริต, อารักษ์ อมรศุภศิริ, อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี, และ ภูมิภัทร ถาวรศิริ หนังนำเสนอเรื่องราวของชีวิตวัยรุ่นที่เลือกทางผิด จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต หนังมุ่งเน้นการถ่ายทอดความโหดร้ายของสังคมในสถานควบคุมความประพฤติวัยหนุ่ม รวมถึงระบบที่เต็มไปด้วยความรุนแรง การเอาตัวรอด และวัฏจักรของอาชญากรรม พร้อมกับวิพากษ์ระบบกฎหมายและความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้อย่างเจ็บแสบ

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อ เผือก เด็กหนุ่มจากสลัมที่เติบโตมากับแม่เพียงลำพัง แม้แม่ของเขาจะหาเลี้ยงเขาด้วยการขายยาเสพติด แต่เผือกกลับมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดี จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาถูกบังคับให้ต้องปกป้องศักดิ์ศรีของแม่ในการเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้สุดโหด และการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีนั้นนำเขาไปสู่สถานควบคุมความประพฤติสำหรับเยาวชน หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า คุกวัยหนุ่ม ทันทีที่ก้าวเข้าสู่โลกหลังกำแพง เผือกต้องพบกับกฎแห่งป่าที่ไร้ความปรานี ทั้งการกลั่นแกล้ง ความรุนแรง และลำดับชนชั้นที่ถูกสร้างขึ้นในหมู่นักโทษ เขาได้พบกับ ชัย อดีตนักเลงที่เคยเป็นลูกพี่ใหญ่ในสถานควบคุมมาก่อน ซึ่งพยายามสอนให้เผือกรู้จักวิธีเอาตัวรอด แต่ก็ต้องแลกกับการเข้าสู่วังวนของอำนาจและอาชญากรรมในคุก เผือกเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กหนุ่มที่มีจิตใจดี กลายเป็นนักโทษที่ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องตัวเอง เขาเริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งที่สังคมบอกให้เขาเป็น กับสิ่งที่เขาจำเป็นต้องเป็นเพื่อความอยู่รอดนั้น ต่างกันมากแค่ไหน และเมื่อถึงวันที่เขาได้รับโอกาสให้เป็นอิสระอีกครั้ง เขาจะสามารถกลับไปเป็นคนเดิมได้หรือไม่ คุณสามารถติดตามรับชมต่อได้ที่นี่

ภาพยนตร์ถ่ายทอดความโหดร้ายและความสิ้นหวังของเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งในสังคมไทยได้อย่างสมจริง หนังเล่าเรื่องในแบบที่ไม่ประนีประนอมกับความรุนแรง หรือความมืดหม่นของระบบเรือนจำ การดำเนินเรื่องเข้มข้นและเต็มไปด้วยจังหวะที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดและกดดันไปพร้อมกับตัวละคร จุดเด่นของหนังคือการแสดงของ ณัฏฐ์ กิจจริต ที่สามารถสื่ออารมณ์ได้อย่างหนักแน่น ตั้งแต่เด็กหนุ่มใสซื่อไปจนถึงชายหนุ่มที่ถูกความรุนแรงหล่อหลอมให้แข็งกระด้าง มุมกล้องและการจัดแสงใช้โทนสีอึมครึม ๆ และมืดหม่น เพื่อสะท้อนความอึดอัดของตัวละครและบรรยากาศภายในคุกได้เป็นอย่างดี ด้านเสียงประกอบมีการใช้ดนตรีที่สร้างอารมณ์ได้อย่างทรงพลัง จุดด้อยของหนังอาจเป็นการดำเนินเรื่องที่เน้นความดรามามากจนทำให้บางช่วงดูหนักหน่วงเกินไปสำหรับคนทั่วไป และบทก็ไม่ได้นำเสนอทางออกที่ชัดเจนให้กับปัญหาที่ตัวละครเผชิญ แต่โดยรวมแล้ว ถือเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างทรงพลังและน่าจดจำ เราให้คะแนนหนังที่ 8.5/10 คะแนน